วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2557

Speaking skill

Speaking skill 


การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการพูด (Speaking skill)




          เทคนิคการสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษ (Speaking Skill)การสอนภาษาทุกภาษา มีธรรมชาติของการเรียนรู้เช่นเดียวกัน คือ เริ่มจากการฟัง และการพูด แล้วจึงไปสู่การอ่านและการเขียน ตามลำดับ การสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษในเบื้องต้น มุ่งเน้นความถูกต้องของการใช้ภาษา ( Accuracy) ในเรื่องของเสียง คำศัพท์ (Vocabulary) ไวยากรณ์ ( Grammar) กระสวนประโยค (Patterns)

         ดังนั้น กิจกรรมที่จัดให้ผู้เรียนระดับต้นได้ฝึกทักษะการพูด จึงเน้นกิจกรรมที่ผู้เรียนต้องฝึกปฏิบัติตามแบบ หรือ ตามโครงสร้างประโยคที่กำหนดให้พูดเป็นส่วนใหญ่ สำหรับผู้เรียนระดับสูง กิจกรรมฝึกทักษะการพูด จึงจะเน้นที่ความคล่องแคล่วของการใช้ภาษา ( Fluency) และจะเป็นการพูดแบบอิสระมากขึ้น เพราะจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการพูด คือ การสื่อสารให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วยการพูดอย่างถูกต้องและคล่องแคล่ว ครูผู้สอนจึงควรมีความรู้และความสามารถอย่างไร จึงจะสามารถจัดการเรียนรู้เพื่อฝึกทักษะการพูดให้แก่ผู้เรียนได้อย่างสอดคล้องกับระดับและศักยภาพของผู้เรียน


เทคนิคการสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษ

       การเรียนรู้: เทคนิคการสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษ (Speaking Skill)  การสอนภาษาทุกภาษา มีธรรมชาติของการเรียนรู้เช่นเดียวกัน คือ เริ่มจากการฟัง และการพูด แล้วจึงไปสู่การอ่านและการเขียน ตามลำดับ จุดมุ่งหมายของการพูด คือ การสื่อสารให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วยการพูดอย่างถูกต้องและคล่องแคล่ว ครูผู้สอนควรมีความรู้และความสามารถอย่างไร จึงจะสามารถจัดการเรียนรู้เพื่อฝึกทักษะการพูดให้แก่ผู้เรียนได้อย่างสอดคล้องกับระดับและศักยภาพของผู้เรียน
         ชื่อเรื่อง เทคนิคการสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษSpeaking Skill)
         เกริ่นนำ  การสอนภาษาทุกภาษา มีธรรมชาติของการเรียนรู้เช่นเดียวกัน คือ เริ่มจากการฟัง และการพูด แล้วจึงไปสู่การอ่านและการเขียน ตามลำดับ การสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษในเบื้องต้น มุ่งเน้นความถูกต้องของการใช้ภาษา ( Accuracy) ในเรื่องของเสียง คำศัพท์ ( Vocabulary) ไวยากรณ์ (Grammar) กระสวนประโยค (Patterns) ดังนั้น กิจกรรมที่จัดให้ผู้เรียนระดับต้นได้ฝึกทักษะการพูด จึงเน้นกิจกรรมที่ผู้เรียนต้องฝึกปฏิบัติตามแบบ หรือ ตามโครงสร้างประโยคที่กำหนดให้พูดเป็นส่วนใหญ่ สำหรับผู้เรียนระดับสูง กิจกรรมฝึกทักษะการพูด จึงจะเน้นที่ความคล่องแคล่วของการใช้ภาษา ( Fluency) และจะเป็นการพูดแบบอิสระมากขึ้น เพราะจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการพูด คือ การสื่อสารให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วยการพูดอย่างถูกต้องและคล่องแคล่ว ครูผู้สอนจึงควรมีความรู้และความสามารถอย่างไร จึงจะสามารถจัดการเรียนรู้เพื่อฝึกทักษะการพูดให้แก่ผู้เรียนได้อย่างสอดคล้องกับระดับและศักยภาพของผู้เรียน


      เทคนิควิธีปฎิบัติ

กิจกรรมการฝึกทักษะการพูด มี 3 รูปแบบ คือ
      
 1.  การฝึกพูดระดับกลไก (Mechanical Drills) เป็นการฝึกตามตัวแบบที่กำหนดให้ในหลายลักษณะ เช่น
              - พูดเปลี่ยนคำศัพท์ในประโยค (Multiple Substitution Drill)
              - พูดตั้งคำถามจากสถานการณ์ในประโยคบอกเล่า (Transformation Drill)
              - พูดถามตอบตามรูปแบบของประโยคที่กำหนดให้ (Yes/No Question-Answer Drill)
              - พูดสร้างประโยคต่อเติมจากประโยคที่กำหนดให้ (Sentence Building)
              - พูดคำศัพท์ สำนวนในประโยคที่ถูกลบไปทีละส่วน (Rub out and Remember)
              - พูดเรียงประโยคจากบทสนทนา (Ordering dialogues)
              - พูดทายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในบทสนทนา (Predicting dialogue)
              - พูดต่อเติมส่วนที่หายไปจากประโยค ( Completing Sentences )
              - พูดให้เพื่อนเขียนตามคำบอก (Split Dictation)  ฯลฯ
        
 2.  การฝึกพูดอย่างมีความหมาย ( Meaningful Drills) เป็นการฝึกตามตัวแบบที่เน้นความหมายมากขึ้น มีหลายลักษณะ เช่น
              - พูดสร้างประโยคเปรียบเทียบโดยใช้รูปภาพ
              - พูดสร้างประโยคจากภาพที่กำหนดให้
              - พูดเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ ในห้องเรียน     ฯลฯ
       
 3.   การฝึกพูดเพื่อการสื่อสาร (Communicative Drills) เป็นการฝึกเพื่อมุ่งเน้นการสื่อสาร เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสร้างคำตอบตามจินตนาการ เช่น
              - พูดประโยคตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ( Situation)
             - พูดตามสถานการณ์ที่กำหนดให้ ( Imaginary Situation)
             - พูดบรรยายภาพหรือสถานการณ์แล้วให้เพื่อนวาดภาพตามที่พูด ( Describe and Draw) ฯลฯ

ทำไมต้องอ่านแบบ Skimming ??



Skimming 



        Skimming เป็นวิธีการอ่านแบบหนึ่งที่แตกต่างไปจากการอ่านแบบธรรมดา เพราะการอ่านแบบนี้เป็นการอ่านแบบรวดเร็วเพื่อต้องการข้อมูลโดยทั่ว ๆ ไป ( general information ) จะไม่อ่านทุกตัวอักษรแต่จะอ่านข้าม ๆ แต่ก็สามารถจับใจความได้ 

ขั้นตอนของการ Skimming
  1. อ่านหัวเรื่อง 
  2. ดูชื่อผู้แต่ง และหนังสืออ้างอิง
  3. อ่านย่อหน้าแรกอย่างละเอียด
  4. อ่านหัวเรื่องย่อยและประโยคแรกของย่อหน้าที่เหลือ
  5. อ่านเรื่องทั้งหมดอย่างรวดเร็วเพื่อหา
    1. main idea ของทุกย่อหน้าพร้อมทั้ง supporting detail
    2. clue words เช่น ชื่อคน ชื่อวัน และ adj ที่สำคัญ
    3. คำที่แสดงความคิดของผู้แต่ง เช่น เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย
    4. เครื่องหมายตัวชี้ต่าง ๆ เช่น ตัวพิมพ์เอน ตัวพิมพ์หนา ลูกศร ดาว ฯลฯ
  6.  ในย่อหน้าสุดท้าย ถ้าเป็นการสรุปต้องอ่านให้ละเอียด
นักเรียนต้อง Skim เรื่องส่วนใหญ่ให้ได้ 1,000 คำ ต่อ วินาที 

อย่างไรก็ดี นักเรียนควรฝึกการ Skim ให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทักษะในการ Skim จะดีขึ้นพยายามฝึก Skim เมื่อ 

1. อ่านหนังสือพิมพ์ หรือ แมกกาซีน
2. ต้องการจับใจความสำคัญ “ gist “ ของบทความ
3. การต้องการเลือกหนังสือในห้องสมุดก่อนที่จะตัดสินใจยืมเล่มหนึ่งออกมา
4. ต้องการสุมปริมาณความคิดเห็น และความเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ
5. ต้องการรวบรวมข้อมูล สำหรับการพูด หรือการเขียน paper 



ทำไมต้อง skimming เวลาอ่าน ?

                 ก็เพราะ Skimming เป็นรูปแบบการอ่านแบบหนึ่งจากสองแบบที่จำเป็นมากๆ หากคุณได้อ่านบทความภาษาอังกฤษจำนวนมาก จะพบว่าเป็นการยากมากที่จะหาคำตอบจากสิ่งที่โจทย์ต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากบทความนั้นยาวมาก เทคนิคการอ่านแบบนี้ คือการอ่านด้วยความไวสูง ไม่สนใจรายละเอียดหากแต่กวาดตามองไปอย่างรวดเร็ว มองหา Keyword หรือคำหลักที่โจทย์ต้องการในบทความด้วยความไวสูงซึ่งการอ่านแบบนี้มีประโยชน์มากเมื่อเราต้องการทราบภาพรวมๆของบทความนั้นๆ เพราะจะไม่เปลืองสมองมากนัก
ประโยชน์ของ skimming?


Skimming และ scanning ต่างกันอย่างไร?

               Skimming และ scanning ต่างเป็นเทคนิคการอ่านเร็วทั้งคู่ แต่ scanning นั้นจะกวาดสายตาหาเฉพาะสิ่งที่เราต้องการ (a particular thing or person) เท่านั้น เช่น หาคำบางคำ ในสมุดโทรศัพท์เป็นต้น โดยจะไม่อ่านทุกบรรทัดหรือทุกหน้า จะกระโดดจากหน้านี้ไปหน้าโน้นเลย จุดมุ่งหมายอยู่ที่คำบางคำ เท่านั้น ส่วน skimming นั้นจะกวาดสายตาหาเฉพาะสาระสำคัญที่ต้องการ (a particular point or main points) เท่านั้น เช่น Why did so many people visited this national convention center last week? Why? = The exhibition? Why? = The major event? 


สรุป 7 ขั้นตอนของการ Skimming 

1.อ่านหัวเรื่อง 
2.ดูชื่อผู้แต่ง และหนังสืออ้างอิง
3.อ่านย่อหน้าแรกอย่างละเอียดและรวดเร็ว เพื่อจับใจความสำคัญของเรื่อง ( main idea )
4.อ่านหัวเรื่องย่อยและประโยคแรกของย่อหน้าที่เหลือ
5.อ่านเรื่องทั้งหมดอย่างรวดเร็วเพื่อหา
1 main idea, Topic ของทุกย่อหน้าพร้อมทั้ง supporting detail
2 clue words เช่น ชื่อคน ชื่อวัน และ adjective ที่สำคัญ
3 คำที่แสดงความคิดของผู้แต่ง เช่น เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย
4 เครื่องหมายตัวชี้ต่าง ๆ เช่น ตัวพิมพ์เอน ตัวพิมพ์หนา ลูกศร ดาว ฯลฯ
6. อ่านย่อหน้าสุดท้ายอย่างรวดเร็วและละเอียด
7. เพ่งเล็งลักษณะตัวพิมพ์พิเศษ เช่น ตัวเอน ตัวหนา ดาว ฯลฯ ให้ดี 




Tip and Tricks: เคล็ดลับในการ skimming

          การอ่านแบบข้าม เป็นการอ่านผ่านเพื่อค้นหาเฉพาะข้อความสำคัญก่อนที่จะ อ่านข้อเขียนนั้นอย่างละเอียด ผู้อ่านจะมองข้อเขียนนั้นโดยรวมว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ค้นหาเฉพาะข้อความสำคัญและข้ามส่วนที่คิดว่าเป็นรายละเอียดปลีกย่อยไป ซึ่งจะช่วยให้ได้ข้อสรุปและความคิดเห็นทั่วไปของเรื่องที่จะอ่าน ได้ข้อคิดอย่างกว้าง ๆ ของผู้แต่ง เราใช้วิธีการอ่านแบบนี้เมื่อต้องการหาประเด็นสำคัญภายในเวลาอันรวดเร็ว ในการอ่านแบบข้าม ผู้อ่านจะทราบสิ่งต่อไปนี้ ข้อเขียนนั้นเขียนขึ้นเพื่อใคร เช่น ผู้อ่านทั่วไป หรือผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพ เป็นต้น ข้อเขียนนั้นมีรูปแบบใด เช่น รายงาน จดหมายที่เขียนอย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ บทความ โฆษณา เป็นต้น ผู้เขียนมีวัตถุประสงค์อะไรในการเขียน เช่น เพื่อพรรณนา อธิบายแจ้งข่าวสาร สั่งสอน ชักชวน เป็นต้น เนื้อหาโดยทั่วไปของข้อเขียนเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร




แบบฝึกหัดการอ่านแบบข้าม (Skimming)

Direction: Skim this passage below and choose the best answers for each question.

The Taj Mahal
Often called the most beautiful building in the world, The Taj Mahal stands in the town of Agra in India. It is in fact a tomb built by the emperor Shah Jahan for his wife who died in 1931.
Visitors to the Taj Mahal enter through a red sandstone gateway which leads into a beautiful walled garden in which a watercourse runs between rows of slender cypress trees. A the end of
the watercourse The Jaj Mahal stands on a marble terrace.
It’s square building made from pure white marble and topped by a dome. Four slender white minerals or towers rise from the corners of the terrace. Beneath the dome is an eight-sided chamber with a carved marble screen around the tombs of the emperor and his wife.
The chief architect of the Taj Mahal was Ustad Isa, who may have been a Persian. The building and ornamentation was done by 20,000 men and craftsmen from all parts of Asia. (1632-1650.)
1. Where is the Taj Mahal built?
a. the town of Emperor b. the town of Jahan
c. the town of watercourse d. the town of Agra
2. Who built the Jaj Mahal?
a. the Emperor’s wife b. the Emperor Shah Jahan
c. the architect d. all the above
3. In what year did the Emperor Shah Jahan's beloved wife passed away? 
a. 1930 b. 1931
c. 1932 d. 1933

4. What trees wee grown in the walled garden?
a. watercourse b. slender
c. cypress d. white minaret

5. What was square building made?
a. pure white marble b. pure black marble
c. crude white steel d. crude black steel
6. Who was the chief architect of the Taj Mahal?
a. Prince Persia b. Ustad Isa
c. Shah Jaha d. Andy Wilson

7. According to the passage, what nationality did Ustad Isa have?
a. Croatian b. Chinese
c. Caucasian d. Persian 

8. How long had the Taj Mahal been built?
a. ten years b. fifteen years
c. seventeen years d. eighteen years


เฉลยแบบฝึกหัด The Taj Mahal
1. d. 2. b. 3. b. 4. c. 5. a. 6. b. 7. d. 8. d 

ที่มา http://www.engtest.net/2010/main.php?section=elearning&&skill_id=1&&level_id=1&&topic_id=352

Present Continuous Tense ไม่ยากอย่างที่คิด !!


 Present Continuous Tense 



Present Continuous Tense (Tense ปัจจุบันกำลังทำ)
Present  เพร๊เซินท= ปัจจุบัน
Continuous คอนทินิวอัส = ต่อเนื่อง
Present Continuous Tense มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งคือ Present Progressive Tense
..........................................................................................................



..........................................................................................................


หลักการใช้ Present Continuous Tense (ปัจจุบันกาลต่อเนื่อง)


1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ กำลังดำเนินอยู่ในขณะที่พูด ต่อเนื่องไปเรื่อยๆและจบในอนาคต โดยอาจจะใช้ Adverbs of Time (คำกริยาวิเศษณ์บอกเวลา) บางคำ เช่น now, at the moment, right now, at present, these days เป็นต้น เข้ามาช่วยในประโยคด้วย เช่น
- She is going to the supermarket at the moment.
(หล่อนกำลังไปซุปเปอร์มาร์เกตอยู่ตอนนี้)
2. ใช้เพื่อพูดถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น
- I am meeting my boss this evening.
(ฉันจะพบกับเจ้านายเย็นนี้)
3. ใช้แสดงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ ผู้พูดมั่นใจว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน เช่น
- He is going to China tonight.
(เขาจะเดินทางไปยังประเทศจีนคืนนี้)
4. กริยาบางตัวไม่สามารถใช้ในรูปของ Present Continuous Tense ได้ ถึงแม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะกำลังเกิดขึ้น หรือ ดำเนินอยู่ก็ตาม โดยเรามักใช้ในรูปของ Present Simple Tense กับคำกริยากลุ่มนี้แทน ซึ่ง ได้แก่
                4.1) กริยาที่แสดงถึงประสาทสัมผัสทั้งห้า เช่น see, hear, feel, taste, smell

- I smell something bad. (ถูก)
- I am smelling something bad. (ผิด)
               4.2) กริยาที่แสดงความนึกคิด ความรู้สึก เช่น know, understand, think, believe, agree, notice, doubt, suppose, forget, remember, consider, recognize, appreciate, forgive

- I believe her. (ถูก)
-I am believing her. (ผิด)

            4.3) กริยาที่แสดงความชอบและความไม่ชอบ เช่น like, dislike, love, hate, prefer, trust, detest

- He likes a woman with long hair. (ถูก)
- He is liking a woman with long hair. (ผิด)
             4.4) กริยาที่แสดงความปรารถนา เช่น wish, want, desire, prefer

- I want to get married. (ถูก)
- I am wanting to get married. (ผิด)
            4.5) กริยาที่แสดงความเป็นเจ้าของ เช่น possess, have, own, belong

- She has no children. (ถูก)
- She is having no children. (ผิด)

..........................................................................................................

วิธีการสร้างประโยค Present Continuous Tense


โครงสร้าง
Subject + is/am/are + V.-ing
ประโยคบอกเล่า
I
am
talking
to her.
You / We / They
are
reading
magazines.
He / She / It
is
sleeping
on the couch.
ครงสร้าง
Subject + is/am/are + not + V.-ing
ประโยคปฏิเสธ
I
am
not
talking
to her.
You / We / They
are
not
reading
magazines.
He / She / It
is
not
sleeping
on the couch.
โครงสร้าง
Is/Am/Are + Subject + V.-ing?
ประโยคคำถาม
Am
I
talking
to her?
Are
you / we / they
reading
magazines?
Is
he / she / it
sleeping
on the couch?
โครงสร้าง
Who/What/Where/When/Why/How + is/am/are + Subject + V.-ing?
ประโยคคำถาม 
Wh-
Who
am
I
talking to?
What
are
you / we / they
reading?
Where
is
he / she / it
sleeping?
*คำปฏิเสธรูปย่อของ is / am / are not คือ isn’t, aren’t และ aren’t

..........................................................................................................

Time Line เส้นเวลา



tense นี้ใช้ บอกกล่าวเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

  • สีดำคือ อดีตที่หมองหม่น
  • สีส้มคือปัจจุบันที่สดใส
  • สีชมพู คือ อนาคตที่เรืองรองผ่องอำไพ
  • ลูกศรสีขาวไซร้คือเหตุการณ์ (ณ ตอนนี้)
  • เส้นประหมายถึงระยะเวลาสั้นๆ (สำหรับ Continuous Tense)
  • เส้นประสีขาวคือช่วงระยะเวลาที่เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว
  • ส้นประสีเหลืองคือช่วงระยะเวลาที่เหตุการณ์ที่ยังดำเนินต่อไป
ให้สังเกตุที่ลูกศรนะครับ มันคือเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นขณะนั้น มีตัวเดียวนะคะ นั่นหมายความว่าเป็นเหตุการที่เรากำลังพบเจออยู่ ส่วนเส้นประสีเหลืองนั้นหมายถึงระยะเวลาของเหตุการณ์


..........................................................................................................

Exercise

1. He.............................the letter to his wife now.
A.
B.
C.
D.
2. Jenny .......................................to school by bus now.
A.
B.
C.
D.
3. ......................the teacher........................English  at this time.
A.
B.
C.
D.
4. _________ you watching television now?
A.
B.
C.
D.
5. We _________ for our English test at the moment.
A.
B.
C.
D.
6. Today, it is not raining. The sun _________ now.
A.
B.
C.
D.
7. Please be quiet. I _________to the news now.
A.
B.
C.
D.
8. What are you doing?      _________ a model plane. 
A.
B.
C.
D.
9. What.................you.......................now?
A.
B.
C.
D.
10. Jenny and Jane.........................................football right now at school.
A.
B.
C.
D.